Parkour หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Free Running จริงๆ แล้วนั้นจุดเริ่มมาจากกีฬา Parkour ของฝรั่งเศสโดยจุดมุ่งเน้นของ Parkour นั้นมีไว้เพื่อการใช้ร่างกายของตนเองเพื่อย้ายจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่อื่นๆโดยใช้เฉพาะ ร่างกายของเราเท่านั้น โดยที่สิ่งแวดล้อมต่างๆ ในสถานที่นั้นอาจจะมีอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางเป็นสำคัญ และเป็นที่นิยมในเขตชุมชนเมือง ส่วน Free Running นั้นจะเน้นไปที่ความสวยงามขณะเคลื่อนไหวด้วยวิธีสร้างสรรค์ จึงอาจเรียกได้ว่า 2 อย่างนี้คล้ายกัน แต่เป็นคนละกีฬากัน อาจจะแยกกันได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตว่าFree Running จะมีการตีลังกาเยอะกว่า นั่นเอง
Parkour เป็นการฝึกทางกายเพื่อเอาชนะอุปสรรคใดๆในเส้นทางโดยการเคลื่อนไหวตามสภาพแวดล้อมโดยเน้นที่ความอดทน ความแข็งแรง ความสามารถทางกายภาพ ความสมดุล ความคิดสร้างสรรค์ ความลื่นไหล การควบคุม ความแม่นยำ มีสติ เพื่อไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุดซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการกำหนดเส้นทางวิ่งเป็นเส้นตรงนั่นเอง
Free Running จะเป็นการวิ่งแบบ Running with Style หรือเป็นการวิ่งด้วยท่วงท่าที่สวยงาม เน้นท่าทางที่ตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่นการปีนป่ายไปบนกำแพง กระโดดตีลังกาจากที่สูง และท่าทางออกมาให้ดูพริ้วไหวและโดดเด่น และเน้นสถานที่ที่ใช้แค่บริเวณใด บริเวณหนึ่งที่ค่อนข้างปลอดภัยเพื่อให้ใช้ท่วงท่าได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องใช้ความสามารถทางกายภาพ ความสมดุล ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เล่นเช่นกัน ซึ่งด้วยท่วงท่าที่งดงามนี้เองทำให้ Free Running จึงเป็นที่นิยมมากกว่า Parkour แต่ทั้ง 2 กีฬานี้ก็ยังถูกเรียกรวมกันอยู่ดีเพราะมีจุดประสงค์คือใช้ร่ายกายเคลื่อนไหวเพื่อไปยังจุดหมายเหมือนกัน
Free running กับ Parkour ต่างกันนิดหน่อย...
-Free running จะเน้นการโดดจากที่สูง การข้าม การวิ่ง ปีน เหมือนกัน แต่จะเอาท่าตีลังกามาผสมด้วย เช่น ลังกาหลัง ลังกาหน้า ลังกาข้าง ใส่เกลียวเข้าไป หรือเล่นท่ากำแพง ฯลฯ เยอะมากๆ คนที่เน้น Free running ต้องร่างกายแข็งแรงและมีพื้นฐานมาจากยิมนาสติกด้วย
-Parkour เน้นการเคลื่อนที่ไว รวดเร็ว คล่องแคล่ว นั่นก็คือ เน้นการปีนป่ายมากกว่า และตีลังกาน้อยมากจนถึงไม่ตีลังกาเลย ผู้ใดที่เน้น Parkour ต้องแข็งแรงเช่นกัน และต้องเคลื่อนที่ให้ไวและคล่องแคล่ว
ประวัติต่างๆของ Parkour
Hébert's legacy
โดย Georges Hébert
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 Georges Hébert ทหารเรือฝรั่งเศส ได้ออกเดินทางไปที่ต่างๆในโลก ขณะที่ไป Africa เขาได้ประทับใจการบริหารร่างการและความสามารถของชนพื้นเมืองที่เขาพบ
โดยร่างกายของพวกเขา ผอมสวย คล่องตัว คล่องแคล่ว ทักษะสูง และ ทนทาน ถึงแม้พวกเขาไม่มีอาจารย์สอนยิมนาสติกและอาศัยในธรรมชาติ
ในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี 1902 เมือง Saint-Pierre, Martiniqie เมืองที่เขาพักอยู่ขณะนั้น ได้ประสบกับภูเขาไฟระเบิดของภูเขา Pelée. Hébert ประสานงานที่จะช่วยผู้คน 700 คน ประสบการณ์นี้มีผลลึกซึ้งกับเขา และเสริมความเชื่อของเขาที่จะต้องมีทักษะกีฬารวมกับความกล้าหาญและความบริสุทธิ์ใจ และเขาก็ได้เอามาเป็นคำขวัญของเขาเอง "être fort pour être utile"(Be strong to be useful)
แรงบันดาลใจจากชนเผ่าพื้นเมือง Hébert ได้เป็น ผู้กวดวิชาพลศึกษาที่ The college of Reims ในฝรั่งเศส เขาเริ่มกำหนดหลักการของวิชาพลศึกษาของเขาเอง และเขาได้สร้างตัวช่วยและแบบฝึกหัดของเขาเองที่เรียกว่า méthode naturelle ( Natural Method )
Hébert ได้ตั้ง méthode naturelle ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นฐาน 10 อย่างคิอ การเดิน, การวิ่ง, การกระโดด, กระขยับทั้งสี่ส่วน(แขน2ขา2), การปีน, การทรงตัว, การโยน, การยก, การป้องกันตัว, การว่าย ที่เป็นส่วนหนึ่งในสามกำลังหลักคือ
-พลังหรือกำลัง
-คุณธรรม
-ร่างกาย
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 Hébert ได้ฝึกสอนอย่างต่อเนื่องและขยายเป็นวงกว้าง และได้กลายเป็นระบบพื้นฐานของการฝึกสอบทหารของฝรั่งเศส ดังนั้น Hébert คือผู้หนึ่งในผู้สร้าง Parcours -- หลักสูตรการข้ามสิ่งกีดขวางที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสวิซ คือ พื้นฐานของการฝึกทหาร ซึ่งนำไปสู่การออกกำลังกายของคนทั่วไปและหลักสูตรด้านความเชื่อมั่น และนอกจากนั้น ทหารและนักดับเพลิงชาวฝรั่งเศสได้พัฒนาหลักสูตรข้ามสิ่งกีดขวางที่เป็นที่รู้จักเรียกว่า parcours du combattant และ parcours SP
ครอบครัว Belle
Raymond Belle เกิดที่ฝรั่งเศสอินโดจีน(ตอนนี้เรียกว่าเวียดนาม) พ่อของเขาตายในสงครามอินโดจีนครั้งแรก และ Raymond ได้แยกกับแม่ตอนประเทศกลายเป็นเวียดนามเมื่อปี 1954 เขาได้ถูกเลี้ยงดูโดยทหารชาวฝรั่งเศสในดาลัด และได้เข้ารับการฝึกเป็นทหาร
หลังจาก "การต่อสู้เดียนเบียนฟู"(Battle of Dien Bien Phu) Raymnd ได้ถูกส่งกลับฝรั่งเศส และ เรียนวิชาทหารจบในปี 1958 ตอนอายุ 19 เขาได้อุทิศตัวให้การออกอำลังกายที่ช่วยให้เขาช่วยให้เขาเป็นหนึ่งใน นักดับเพลิง ด้วยความคล่องตัวของเขา เขาได้กลายเป็น แชมป์นักปีนเชือกของกรมทหาร และได้กลายเป็นหน่วยยอดของกรมทหาร ซึ่งประกอบไปด้วยคนที่ฟิตที่สุดและนักพจญเพลิงที่คล่องตัวที่สุด สมาชิกในหน่วยนี้ได้ถูกเรียกให้ทำภารกิจช่วยเหลือที่ยากและอันตรายที่สุด
เขาได้รับการยกย่องด้าน ความเยือกเย็น ความกล้าหาญ และ เสียสละ Raymon ได้เป็นบทบาทสำคัญของภารกิจเฮลิคอปเตอร์ดับเพลิงครั้งแรกในปารีส หลายความช่วยเหลือ เหรียญ และ ประโยชน์ ของเขาทำให้เขาได้รับชื่อเสียงและเป็นแรงบัลดาลใจให้คนรุ่นต่อไป โดยเฉพาะลูกของเขา David Belle
David เกิดในครอบครัวนักพจญเพลิง และได้รับอิทธิพลจากเรื่องราวของความเป็นวีรบุรุษ Raymond ได้นำ David เข้ารับการฝึกข้ามสิ่งกีดขวางและ méthode naturell - David ได้มีส่วนร่วมในหลายๆกิจกรรม เช่น ศิลปการต่อสู้ ยิมนาสติก ฯลฯ และใช้ความสามารถทางด้านกีฬาของเราในการปฏิบัติ และเมื่ออายุ 17 เขาได้ออกจากโรงเรียนเพื่อหาอิสระและความแข็งแกร่ง เขาได้พัฒนาความแข็งแรงและความชำนาญที่ใช้ในชีวิตประจำวันของเขาเรื่อยมาดังที่พ่อของเขาได้นำไว้
ครับ หากต้องการข้อมูลอะไรเกี่ยวกับ กีฬาชนิดนี้บอกได้นะครับ จะเอามาลงเพิ่มให้คับ ข้อมูลทั้งหมดผมรวบรวมมาจากเว้บไซต์ต่างๆ ซึ่งผมเป็นคนนึงที่ต้องการเล่นกีฬาชนิดนี้ และเว็บส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบผมก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ pakour เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่สนใจคับ
พื้นฐานของมันควรจะใช้อะไรบ้าง อย่างกีฬายิมนาสติก หรือว่าสภาพร่างกาย
ถ้าเป็นปาร์กัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องใจ ผมสอนเด็กไปก็บอกได้เลยว่าท่ามันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ว่ามันไกล มันสูง กล้าทำรึเปล่า แค่นั้นเอง ถือว่าความยากไม่ได้ยากมากมาย แต่ต้องใช้การฝึกซ้ำๆ บ่อยๆ เพราะบางอย่างกล้ามเนื้ออาจจะต้องยืดออกเพื่อจะยึดจับให้ได้ ต้องฝึกบ่อยหน่อย แต่ถ้าเป็นความเข้าใจก็ไม่ได้ยากมาก แต่ถ้าเป็นพวกท่าตีลังกา ความเข้าใจมันจะซับซ้อนกว่า การตีลังกา การกลับตัว หัวใจมันก็คือ ขึ้นไปแล้วเราโดดจะกลับตัวยังไง
ดูแล้วเป็นกีฬาที่ใช้ความเสี่ยง แล้วคงผ่านอุบัติเหตุมาแล้วแน่ๆ อันตรายขนาดนี้ทำไมยังเล่นอยู่ครับ
ก็ขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชาย ตีลังกามันต้องได้ใช่มั้ย เจ็บแล้วมันต้องเอาคืน เหมือนมันเป็นข้อพิสูจน์ให้เรารู้ว่าเราทำได้ มันเริ่มจากความกลัว ถามว่ากลัวมั้ยก็ตอบเลยว่ากลัว ถามว่ากล้ามั้ยก็ตอบเลยว่ากล้า กลัวก็กลัวแต่เอาก็เอา คือมันอยากรู้ว่าเราทำได้ และทำให้รู้ว่าอายุก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรเท่าไหร่หรอก ขอให้คนเราเริ่มเรียนรู้ประสาทมันจะเริ่มพัฒนามันจะเริ่มจับได้ คุ้นเคยแล้วกล้ามเนื้อมันจะเริ่มปรับทีละนิด เราก็จะเริ่มพริ้วไปได้ ทุกอย่างมันทำได้หมดเพียงแค่เราเก็บไปบ่อยๆ ฝึกไปในแต่ละวัน ทำได้หมดล่ะครับ อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่า อายุไม่เกี่ยว
มีวิธีอะไรที่จะขจัดความกลัวของผู้ที่เข้ามาเล่นฟรีรันนิ่ง
สำหรับผมจะมีสเต็ปเป็นขั้นตอน หนึ่งทำอย่างนี้นะ สองได้มั้ย สามดูนะปลอดภัยมั้ย สี่ทำตามนี้นะ แล้วท่าที่ถูกต้องมันจะเซฟตัวของมันเอง คนเรียนจะรู้สึกเองโดยอัติโนมัติแบบมันทำได้แล้วเหรอ พอทำได้ปุ๊บ มันได้ใจแล้ว เข้าใจแล้วว่ามันกลับตัวได้แล้ว ปลอดภัยแล้ว มันก็ไม่กลัวแล้ว การสอนของผมจะเป็นการเอาชนะสัญชาติญาณในการป้องกันตัวของคนเรา โดยใช้ทริคอย่างง่ายๆ แต่ถ้าเป็นอย่างที่กลุ่มอื่นสอนกันบางที่จะสอนแบบจับยัด ฝืนเด็กเพื่อให้ทำให้ได้ กลุ่มอื่นบางกลุ่มฝึกกันบนพื้นปูนเลย ยอมรับว่าถ้าคนที่ได้มันก็เก่งเลย แต่ผมไม่ใช่ จากในยิมก็ไปพื้นหญ้า บางคนอาจจะเป็นพื้นทรายก็แล้วแต่เป็นขั้นไป คือเราไม่จำเป็นต้องเก่งอะไรขนาดนั้นหรอก เอาปลอดภัยไว้ก่อนดีสุด เวลาฝึกอุปกรณ์เซฟผมจะเยอะมาก กันเหนียวไว้ก่อน
อย่างน้องคนนี้ มาถึงมันเล่นเลย ขึ้นไปอีท่าไหนไม่รู้เจ้าที่แรงมั้งลงมาหน้าฟาดกับพื้นปูนเลย มันบอกขึ้นไปต้องเก็บรอบให้ได้ แต่ก็ยังไปเล่นต่อได้นะฝืนเจ็บได้ แต่ก็ไม่เข็ดหรอกเพราะพวกนี้มันมีใจอยู่แล้ว
ตัวอย่างความดังของ Parkour
หนังทีวี
-Banlieue 13
-Casino Royale
-Breaking and Entering
-WWE wrestler
-60 Minutes
-The Office (season 6, episode 1)
-The Road to El Dorado
-In House (season 6, episode 5, “Brave Heart”)
-Madonna ใช้ 3 ผู้เล่น Parkour ในการแสดงคอนเสิร์ต
-Top Gear The Challenges DVD
-The Tournament
-In The Forgotten (TV series) episode My John (2010)
-Cop Out
-ใน Anime ญี่ปุ่น Durarara
เกม
-Assassin’s Creed I และ Assassin’s Creed II
-Grand Theft Auto IV
-Left 4 Dead 1 และ 2
-Mirror’s Edge
-Prince of Persia
-Prototype
-The Saboteur
-Tony Hawk’s American Wasteland
-Free Running
-Brink